กระชาย (โสมเมืองไทย)
สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ พี่ๆ วันนี้มีสมุนไพรที่เรียกว่า เป็นราชาแห่งสมุนไพรมานำเสนอค่ะ ..นั่นคือ กระชาย..นั่นเอง
กระชาย ราชาแห่งสมุนไพร (โสมเมืองไทย) ขอบคุณภาพสวยๆ จาก |
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : Boesenbergia rotunda (L.) Mansf.
ชื่อสามัญ : Kaemfer
วงศ์ : Zingiberaceae
ชื่ออื่น :
ภาคเหนือ เรียก กะแอน หรือ ละแอน
จังหวัดมหาสารคาม เรียก ขิงทราย
ฉาน, แถบแม่ฮ่องสอน เรียก จิ๊ปู, ซีฟู
กะเหรี่ยง, แม่ฮ่องสอน เรียก เป๊าซอเร๊าะ หรือ เป๊าสี่
กรุงเทพฯ เรียก ว่านพระอาทิตย์
เขมร สุรินทร์ เรียก กะเจียย
กระชาย นิยมใช้ในครัวเรือน ส่วนมากที่นิยมใช้ คือ เหง้า และราก ที่อยู่ใต้ดิน ในประเทศไทย มี 3 ชนิด คือ กระชายเหลือง กระชายแดง และกระชายดำ
กระชายเหลือง และกระชายแดง เป็นพืชจำพวก (genus และ species) เดียวกัน แต่เป็นพืชต่างชนิดกันและมีฤทธิ์ทางยาต่างกันเล็กน้อย
กระชายดำ เป็นพืชวงศ์ขิงเช่นกันแต่อยู่ในตระกูลเปราะหอม มีชือวิทยาศาสตร์ว่า Kaempferia parviflora Wall. ex Bak
กระชายดำ เป็นพืชวงศ์ขิงเช่นกันแต่อยู่ในตระกูลเปราะหอม มีชือวิทยาศาสตร์ว่า Kaempferia parviflora Wall. ex Bak
แต่ละชนิดมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ และสรรพคุณทางยาต่างกันเล็กน้อย โดยใช้เหง้า และ ราก ที่นำมาใช้นั้นมีรสชาติเผ็ด ร้อน ขม ซึ่งแพทย์แผนโบราณของไทยมาใช้ในการรักษาโรค และการบำรุงร่างกาย และยังถือเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ในประเทศจีน มีรายงานว่าใช้กระชายเป็นยา ในประเทศเวียดนามใช้กระชายในการปรุงอาหาร
ลักษณะ
ต้นกระชาย |
เหง้าและรากกระชาย ขอบคุณภาพสวยๆ จาก |
ลักษณะขอบใบกระชายดำ (มีสีเข้มตามขอบใบ) |
ลักษณะขอบใบกระชาย |
ดอกกระชายเหลือง |
สรรพคุณ มีสรรพคุณมากมายจนได้ชื่อในวงการแพทย์แผนไทยว่า "โสมเมืองไทย" มีต้นกำเนิดแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ จะกระจายอยู่มากมายตามส่วนต่างๆ ของต้น ไม่ว่าจะเป็น ใบ เหง้า ราก และ เหง้าใต้ดิน ยิ่งกระชายแก่จะยิ่งมีประโยชน์สูงกว่ากระชายอ่อน และควรเลือกกระชายแห้ง เพราะกระชายแห้งจะมีสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า
กระชายเป็นสมุนไพรเหมือนโสม ช่วยในการบำรุงกำลังและเสริมสมรรถภาพทางเพศซึงเป็นลักษณะเด่นของสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้ สมุนไพรทั้งสองชนิดต่างก็เป็นพืชที่มีส่วนสะสมอาหารที่ใช้เป็นยาอยู่ใต้ดินเหมือนกัน แถมยังสามารถเรืองแสงในที่มืดเหมือนกันด้วย และในเรื่องของลักษณะที่คล้ายกับรูปร่างมนุษย์เหมือนกัน ซึ่งบางทีเราจะเรียกโสมว่า "โสมคน" และเรียกกระชายว่า "นมกระชาย" (เนื่องกระชายกระชายมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับนมผู้หญิงนั่นเอง และบางครั้งก็ดูคล้ายเพศชาย จึงเกิดความเชื่อที่ว่า มันน่าจะมีความเกี่ยวข้องในเรื่องของสรรพคุณทางเพศ)
มีสรรพคุณเป็นสมุนไพรเหมือนดังกับโสม หมุนเวียนไปทั่วร่างกาย แต่กระชายจะระบายออกตามธรรมชาติ ส่วนโสมนั้นถ้าดื่มกินเป็นประจำ โสมจะค้างติดหมุนเวียนอยู่ในกระแสเลือด ไม่มีการขับถ่ายออก จึงเกิดโทษภายหลัง คือ เลือดจะเหนียวข้น ระบบไหลเวียนของโลหิตจะติดขัด ชาวจีนจึงหันมากินกระชาย ซึ่งมีราคาถูก ปลอดภัย หาซื้อง่าย ปลูกได้เอง
ประโยชน์
เหง้าและราก (นมกระชาย) : มีรสเผ็ด ร้อน ขม
- เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงร่างกาย
- บำรุงกระดูก (เพราะมีแคลเซียมสูง)
- บำรุงสมอง เพราะทำให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนกลางดีขึ้น
- ปรับสมดุลฮอร์โมน
- ปรับสมดุลของความดันโลหิต (ความดันโลหิตสูงจะลดลง ความดันโลหิตต่ำจะสูงขึ้น)
- ป้องกันไทรอยด์เป็นพิษ
- ช่วยฟื้นฟูต่อมไร้ท่อต่างๆ เช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต
- ช่วยอาการปวดท้อง มวนในท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ เนื่องจากมีสารซิเนโอเล (Cineole) ที่มีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ จึงทำให้อาการปวดท้องทุเลาลงได้
- ช่วยปรับสมดุล ฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจน) และฮอร์โมนเพศชาย (เทสโทสเตอร์โรน) ผู้หญิงหากมีฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินไปจะเป็นมะเร็งเต้านม ถ้ามีน้อยเกินไปจะเป็นมะเร็งปากมดลูก
- รักษาโรคริดสีดวงทวาร
- รักษาลำไส้ใหญ่อักเสบ
- แก้คันศรีษะจากเชื้อรา
- แก้ปัญหาผมหงอก ผมร่วง (ทำให้ผมแข็งแรงขึ้น ผมขาวกลับดำ ผมบางกลับหนา)
- แก้โรคไต ทำให้ไตทำงานดีขึ้น
- แก้บิดมูกเลือด
- แก้อาการท้องร่วง
- แก้ปวดเบ่ง
- แก้โรคกลากเกลื้อน
- แก้น้ำกัดเท้า
- แก้ปัญหาไส้เลื่อน
- แก้โรคเกิดในปาก (ฝ้าขาวในปาก ปากเปื่อย ปากแตกเป็นแผล)
- แก้ใจสั่น
- แก้กามตายด้าน
- แก้มุตกิต (ตกขาว ระดูขาว)
- ดูแลกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง
- ขับน้ำคาวปลาสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร
- บำรุงหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง เลือดไหลไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น
- บำรุงกำลัง
- บำรุงมดลูก รังไข่ (เพศหญิง)
- บำรุงกำหนัด
- บำรุงเส้นเอ็น
- บำรุงเล็บมือ เล็บเท้าให้แข็งแรง
- บำบัดโรคนกเขาไม่ขัน (โรคอีดี)
- ควบคุมไม่ให้ต่อมลูกหมากโต ลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก (เพศชาย)
- ทำให้กระชุ่มกระชวย สดชื่น
ใบ - บำรุงธาตุ โรคในปาก คอ แก้โลหิตเป็นพิษ ถอนพิษต่างๆ
เมนูอาหารที่ใส่กระชาย
ปลาดุกผัดฉ่า ขอบคุณภาพสวยๆ จาก https://www.youtube.com/watch?v=0_n3WXg8pjw |
แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ขอบคุณภาพสวยๆ จาก |
ปลาต้มกระชายขอบคุณภาพสวยๆ จาก |
โรคกระดูกเสื่อม เกิดจากการเสื่อมสมรรถภาพของกระดูกในร่างกายของเรา ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จากการทานอาหาร หรือ จากการเคลื่อนไหวมากเกินไป มักจะเกิดในวัยกลางคน วัยสูงอายุ สังเกตได้จากเมื่อเคลื่อนไหวจะมีเสียงกร๊อบแกร๊บ บางทีก็จะปวดตรงข้อกระดูก รู้สึกขัดๆ ปวดๆ เคลื่อนไหวลำบาก นั่งคุกเข่า นั่งยองๆ นั่งพับเพียบเวลาลุกขึ้นยาก
การรักษาโรคกระดูกเสื่อม ส่วนใหญ่มักจะพึ่งยาแผนปัจจุบัน อาหารเสริมต่างๆ เช่น แคลเซียมแบบแคปซูล แต่มีอีกสูตรแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน ด้วย น้ำกระชาย น้ำมะนาว น้ำผึ้ง เป็นสูตรธรรมชาติบำบัด ที่ช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างมวลกระดูกขึ้นมาใหม่ แล้วไปเสริมสร้างกระดูกที่เสื่อมให้แน่นเหมือนเดิม (ดื่มน้ำกระชาย 1 เดือน ขึ้นไป กระดูกจะตันเต็มได้โดยเร็ว น้ำกระชายดื่มเปล่า ๆ ได้ผมน้อยกว่าการหมักน้ำตาล ..น้ำหมักกระชาย อีกสูตร)
**กระชายปั่นนั้น ต้องการฤทธิ์แอลกอฮอลล์เล็กน้อย เพื่อทำให้เกิดฤทธิ์ทางยาขึ้นฯ
เก็บในตู้เย็นทานไปจนกว่าจะหมด ครั้งละครึ่งแก้ว เช้า - เย็น
- กระชาย 1 ขีด
- น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
- มะนาว 2 ลูก
วิธีทำ
1. ล้างกระชายให้สะอาด แล้วนำมาตำ โดยใช้ครกหินอ่างศิลา หรือปั่นโดยใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้ละเอียด เติมน้ำสะอาดลงไป 2 แก้ว
2. นำกระชายที่ปั่นหรือตำ กรอง จนได้หัวเชื้อ เอาแต่นำหัวเชื้อ
3. ใส่น้ำผึ้งและมะนาวผสมลงไปปรุงรสตามใจชอบ
**แนะนำให้ใช้วิธีการตำโดยใช้ครกหินอ่างศิลา จะช่วยในการบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติ**
คาร์โบไฮเดรต, เส้นใย, โปรตีน, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, เหล็ก, วิตามินเอ, วิตามินบี 1, วิตามินบี2, มีเอสเซนเทียล ออย (essential oils), สารฟลาโวนอดยด์ (flavonoids), โคมีน(chromene), น้ำมันหอมระเหยเล็กน้อย และมีสารสำคัญเช่น ทูจีน(thujene), บอร์นิออล(borneol), เมอร์ซีน(myrcene), ไลโมนีน(limonene), ไพนีน(pinene) แคมฟีน(camphene), การบูร(camphor), ชินีออล(cineol), รูบรามีน(rubramine) และฟินโนสโตรบิน(pinostrobin) เป็นต้น
การเพาะปลูก
1. กระชายชอบอากาศร้อนชื้นและขึ้นได้ดีในดินปนทราย วิธีการปลูกคือ ใช้เหง้า ตัดรากทิ้งไปบ้างให้เหลือไว้ 2 ราก และปลูกให้ลึกประมาณ 15 ซม. กลบด้วยปุ๋ยคอกและคลุมด้วยฟางแห้ง รดน้ำให้ชุ่ม
สารอาหารที่มีในกระชาย
1. กระชายชอบอากาศร้อนชื้นและขึ้นได้ดีในดินปนทราย วิธีการปลูกคือ ใช้เหง้า ตัดรากทิ้งไปบ้างให้เหลือไว้ 2 ราก และปลูกให้ลึกประมาณ 15 ซม. กลบด้วยปุ๋ยคอกและคลุมด้วยฟางแห้ง รดน้ำให้ชุ่ม
สารอาหารที่มีในกระชาย
ทั้งราก เหง้าและส่วนต้น ประกอบด้วยสารหอมระเหย เหง้าจะมีน้ำมันหอมระเหยอยู่น้อย ประมาณร้อยละ 0.08 เช่น alpinetin, pinocembrin, cardamonin,boesenbergin A, pinostrobin และในส่วนรากยังพบ chavicinic acid อีก
ข้อควรระวัง
- ในการดื่มน้ำกระชาย ควรดื่มในช่วง 15.00 -17.00 น. จะได้ประโยชน์กับร่างกายสูงสุด
- ไม่ควรดื่มน้ำกระชายเปล่าๆ ควรมีน้ำผึ้งและมะนาวผสมด้วย เพื่อเพิ่มสรรพคุณทางยา
- กระชายเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน หากดื่มช่วงเป็นไข้ หรือตัวร้อน อาจทำให้ร่างกายร้อนเกินไป
- ส่วนผู้ที่เป็นความดันต่ำ แล้วดื่มน้ำกระชายจะอันตรายกว่า เพราะอาจช็อกได้ง่าย
ขอขอบคุณ
- บ้านสวนพอเพียง
- http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_07_1.htm
- http://health.kapook.com/view124652.html
- http://lungmor.forumth.com/t48-topic
- https://www.gotoknow.org/posts/532062%2B%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2
- http://mbthai.blogspot.com/2015/07/blog-post_17.html
- http://rojanowork.wixsite.com/pranaresdoichiangdao/----coat
- http:/ข้อมูลสมุนไพร.com/
- http://www.aroka108.com/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/